| ||||||||||||||||||||
ปัญหาการเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูง | ||||||||||||||||||||
ในการเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูง นับว่ามีปัญหามาก เพราะลูกปลาที่ได้มีลักษณะความแปรปรวนมาก สาเหตุที่ทำให้ลูกปลาหางนกยูงมีลักษณะ ด้อยกว่าปลาพ่อพันธุ์ปลาแม่พันธุ์ เนื่องมาจาก | ||||||||||||||||||||
|
October 11, 2008
เทคนิคการเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูง
การเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูง
การเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูง
ในการเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูงเพื่อการค้านั้น ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จหรือไม่ นอกเหนือจากวิธีการเพาะพันธุ์ปลาแล้ว วิธีการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์และการอนุบาลลูกปลาก็นับว่าเป็นปัจจัยที่ล้วนแต่มี ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ซึ่งจะได้กล่าวถึงปัจจัยต่างๆ ดังกล่าวต่อไปนี้ | ||||||||||
การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาหางนกยูง | ||||||||||
เนื่องจากปลาหางนกยูงจะเจริญถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่อปลามีอายุเพียง 3 เดือนเท่านั้น ดังนั้นเมื่อลูกปลาโตพอที่จะแยกเพศได้ (อายุประมาณ 1-2 เดือน) ควรเลี้ยงแยกเพศไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาผสมพันธุ์กันเอง ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ลูกปลาที่ได้จากการผสมพันธุ์กันเอง มีคุณภาพทางด้านลวดลายและรูปร่างไม่ตรงตามที่เราต้องการ | ||||||||||
การเลี้ยงปลาหางนกยูงเพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ควรเลี้ยงในบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงในเวลาเช้าหรือเย็น ถ้าเลี้ยงกลางแจ้งควรใช้ตาข่ายบังแสงให้ส่งผ่านได้เพียง 25-40% ภาชนะที่ใช้เลี้ยงใช้ได้ทั้งอ่างซีเมนต์ หรือตู้กระจก น้ำที่ใช้เลี้ยงควรเป็นน้ำสะอาดปราศจากคลอรีน มีความเป็นกรดด่าง (pH) 6.5-7.5 (ความเป็นกรดด่างที่เหมาะสมที่สุดต่อปลาหางนกยูงคือ 6.8 มีปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ำไม่ต่ำกว่า 5 ppm. (ควรมีอุปกรณ์เพิ่มออกซิเจนในน้ำตลอดเวลา) ความกระด้างของน้ำ 75-100 ppm. ความเป็นด่าง 100-200 ppm. และอุณหภูมิน้ำ 25-29 C | ||||||||||
ปลาหางนกยูงเป็นปลาที่สามารถกินอาหารได้ทั้งพืชและสัตว์ (Omin vorous) ในการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์สามารถให้อาหารจำพวกสัตว์น้ำขนาดเล็ก เช่น ลูกน้ำ ไรแดง (Moina) สีน้ำตาล (Artemia) หรือหนอนแดง (Chrionomus) ในภาพที่มีชีวิตหรือตายก็ได้ หรืออาจจะเลี้ยงด้วยอาหารสำเร็จรูปชนิดต่างๆ ที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 40% ก็ได้ในการให้อาหารสด ก่อนให้อาหารทุกครั้งควรแช่อาหารในด่างทับทิมเข้มข้น 500-1,000 ส่วนในล้านส่วน (0.5 - 1.0 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร) เป็นเวลา 10-20 วินาทีฆ่าเชื้อโรคที่ติดมาเชื้อโรคที่ติดมากับอาหารแล้วจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่ง ปริมาณอาหารควรให้วันละ 10% ของน้ำหนักตัวปลาหรือในปริมาณที่ปลากินอิ่มพอดีให้อาหารวันละ 2 ครั้งในตอนเช้าและเย็น หากมีอาหารเหลือจากปลากินอิ่มแล้วควรดูดทิ้งให้หมด ส่วนมีอาหารแห้งควรให้วันละ 2 - 4% ของน้ำหนักตัวปลาหรือให้ในปริมาณปลากินอิ่มและควรให้วันละ 2 ครั้งเช่นกัน | ||||||||||
การถ่ายน้ำน้ำควรจะกระทำทุกวัน โดยการดูดตะกอนก้นตู้ให้สะอาดแล้วดูดน้ำในตู้ออกวันละประมาณ ? ของปริมาณน้ำในตู้ปลาแล้วเติมน้ำให้เท่าระดับเดิม | ||||||||||
การสังเกตเพศของปลาหางนกยูง | ||||||||||
ในการสังเกตเพศของปลาหางนกยูง สังเกตได้ง่ายเพราะปลานกยูงเพศผู้และเพศเมียมีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้ | ||||||||||
| ||||||||||
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ | ||||||||||
ใน การคัดเลือกปลาเพศผู้เพศเมียเพื่อทำการผสมพันธุ์ ควรเลือกปลาที่มีอายุ 3 เดือนขึ้นไป มีลักษณะลำตัวและครีบสมบูรณ์ รูปร่างได้สัดส่วนไม่พิการแข็งแรงว่ายน้ำปราดเปรียว มีสีและลวดลายสวยงาม ปลาเพศผู้จะมีลักษณะต่างจากเพศเมีย ตรงที่มีอวัยวะช่วยในการสืบพันธุ์เรียกว่า gonopdium ซึ่งดังแปลงมาจากครีบก้น ปลาเพศผู้และเพศเมียควรมีลักษณะสีและลวดลายที่เหมือนกัน หรือคล้ายกันมากที่สุด เพื่อให้ได้ลูกปลาที่มีลักษณะไม่แปรปรวนมาก บางครั้งในการคัดลักษณะสีและลวดลายของปลาเพศเมียอาจจะมีปัญหายุ่งยาก เนื่องจากสีและลวดลายไม่เด่นชัดเหมือนกับปลาเพศผู้ วิธีที่จะช่วยเพิ่มสีและลวดลายให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นในปลาเพศเมีย กระทำได้โดยหยดสารละลายฮอร์โมนเมทธิลเทสโตสเตอโรน (Methyl tesosterone) เข้มข้น 0.1 ppm 2 หยด ลงในภายชนะที่เลี้ยงปลาเพศเมียที่มีประมาตร 3.5 ลิตร ต่อปลา 1 ตัว และเติมสารละลายเมธิลเตสเตอโรน เพิ่มอีกวันละ 2 หยด ซึ่งสีจะปรากฏให้เห็นภายใน 2 สัปดาห์ หลังจากคัดเลือกปลาเพศเมียได้ตามที่ต้องการแล้ว ต้องรีบตักปลาออกจากสารละลายฮอร์โมนทันที เพราะถ้าแช่นานเกินไปทำให้ปลาเป็นหมันได้ | ||||||||||
การผสมพันธุ์ปลาหางนกยูง | ||||||||||
เมื่อคัดปลาเพศผู้และเพศเมีย ตามลักษณะที่กล่าวไว้ในข้างต้นแล้วใส่เลี้ยงรวมกันในภาชนะที่เตรียมไว้สำหรับเพาะพันธุ์ แล้วใส่เลี้ยงรวมกันในภาชนะที่เตรียมไว้สำหรับเพาะพันธุ์ ซึ่งจะเป็นอ่างซีเมนต์ หรือตู้กระจกได้ ในอัตราเพศผู้ 2 ตัว ต่อตัวปลาเพศเมีย 5 ตัว โดยปล่อยในอัตราส่วนเพศผู้ 10 ต่อตัวปลาเพศเมีย 25 ตัว ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร | ||||||||||
หลัง จากปล่อยปลาเพศผู้และเพศเมียรวมกัน เมื่อปลาจะผสมพันธุ์กัน ปลาเพศผู้จะว่างไปใกล้ปลาตัวเมีย และจะปล่อยน้ำเชื้อผ่านทางอวัยวะช่วยในการสืบพันธุ์ (Gonopodium) ไปเก็บไว้ในท่อนำไข่ (Ovduct) ของปลาเพศเมีย (น้ำเชื้อของปลาเพศผู้สามารถเก็บไว้ในท่อนำไข่ได้นานถึง 8 เดือน) หลังจากน้ำเชื้อผสมกับไข่ในท้องปลาเพศเมียแล้ว จะใช้เวลาพักในท้องนานประมาณ 22-30 วัน จึงจะฟักออกเป็นตัว หลังจากออกไข่ได้การผสมกับน้ำเชื้อแล้วจะสังเกตเห็นว่าบริเวณท้องของปลาเพศ เมียจะพองบวมขึ้น และเมื่อสังเกตเห็นว่าบริเวณท้องของปลาเพศเมียบวมออกทั้ง 2 ช้างเต็มที่ ให้จับปลาหงายท้องขึ้นหากเป็นดำๆ ซึ่งเรียกว่า "Gravid spot" จับปลาเพศเมียแยกไปเลี้ยงในภาชนะอื่นที่มีระดังน้ำตื้นๆ และมีพรรณไม้น้ำเพื่อเป็นที่หลบซ่อนของลูกปลา เมื่อลูกปลาพัฒนาเต็มที่ก็จะคลอดออกมาจากท้องแม่ปลาทางช่องเปิดบริเวณท้อง (Vent) ปล่อยให้ลูกปลาออกจากท้องแม่ปลาจนหมดแล้วจึงตักแม่ปลาออกเพื่อป้องกันไม่ให้ แม่ปลากินลูกปลาเกิดใหม่ จำนวนลูกปลาแต่ละครอกอาจมีมากถึง 200 ตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของแม่ปลา แต่โดยเฉลี่ยจะมีประมาณ 40-50 ตัว อนึ่งสถานที่ๆ สำหรับวางภาชนะเพื่ออนุบาลลูกปลานั้นควรเป็นที่มีหลังคากันแดดและฝนได้เพื่อ ป้องกันการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ pH ของน้ำเนื่องจากลูกปลาวัยอ่อนที่เกิดใหม่จะมีความต้านทานต่อการเปลี่ยนสภาพ แวดล้อมได้น้อย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ลูกปลาอ่อนแอและเกิดโรคได้ง่าย | ||||||||||
การอนุบาลลูกปลา | ||||||||||
ลูก ปลาหางนกยูงที่เกิดใหม่มีขนาดค่อยข้างใหญ่ ในระยะแรกสามารถใช้ไรแดงหรือไรสีน้ำตาลที่ฟังใหม่ๆ เป็นอาหาร โดยให้ในปริมาณที่ปลากินอิ่มพอดีวันละ 2 มื้อ ในตอนเช้าและเย็นประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นเลี้ยงด้วยลูกน้ำหรืออาหารสำเร็จรูปได้ทุกๆ วัน ต้องดูตะกอนก้นตู้และเศษอาหารที่เหลือในตู้ออกให้หมดพร้อมทั้งดูดน้ำทิ้งไป ประมาณ 1/4 ของตู้ แล้วเติมให้ได้ระดับเดิม เมื่อลูกปลาได้อายุประมาณ 1 - 2 เดือน ควรจะเลี้ยงแยกเพศเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาเพศผู้ไล่ล่าตามปลาเพศเมียซึ่งเป็น สาเหตุทำให้ปลาเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ | ||||||||||
การเพาะเลี้ยงปลาหางนกยูง | ||||||||||
ขั้นตอนที่ 1 | ||||||||||
เตรียมบ่อซีเมนต์ขนาด 1-4 ตรม. ระดับน้ำลึก 30-50 ซม. ใส่พุ่มเชือกฟางตระกร้าหรือฝาชี เพื่อให้ลูกปลาใช้เป็นที่ลูกปลาหลบซ่อน | ||||||||||
ขั้นตอนที่ 2 | ||||||||||
คัด พ่อแม่ปลาสายพันธุ์เดียวกัน ที่ลักษณะดีสีสวยอายุประมาณ 4-6 เดือน โดยคัดปลาเพศผู้ ลำตัวโตแข็งแรง ครีบหลัง ครีบหางใหญ่และแผ่กว้าง สีเข้มสดใสสวยงาม ส่วนปลาเพศเมียคัดเลือกสายพันธุ์เดียวกันกับปลาเพศผู้ ลำตัวโต แข็งแรง ปราดเปรียว ครีบหางเข้ม สดใส ปล่อยรวมกันในอัตรา 120-180 ตัว/ลบ.ม. ในสัดส่วนเพศผู้ : เพศเมีย เท่ากับ 1 : 3 หรือ 1 : 4 ระหว่างการเพาะพันธุ์ให้ไรแดงเป็นอาหารในตอนเช้า และให้อาหารสำเร็จรูปในตอนเย็นปลาเพศเมียที่ได้รับการผสมแล้วจะเห็นเป็นจุด สีดำบริเวณท้อง | ||||||||||
ขั้นตอนที่ 3 | ||||||||||
หลักจากแม่ปลาได้รับการผสมพันธุ์ประมาณ 26-28 วัน จะมีลูกปลาวัยอ่อนเกิดขึ้นและหลบซ่อนอยู่ตามวัสดุที่ใส่ไว้ในบ่อ ให้รวบรวมลูกปลาออกทุกวันสะสมไว้ในบ่ออนุบาล ประมาณ 4-5 วัน/บ่อ เพื่อให้ลูกปลามีขนาดใกล้เคียงกัน โดยปล่อยลูกปลาในอัตราความหนาแน่น 140-300 ตัว/ลบ.ม. ในระยะแรกให้ไรแดงเป็นอาหารในตอนเช้าและเย็นทุกวันเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นจึงให้อาหารสำเร็จรูป จนกระทั่งลูกปลามีอายุประมาณ 3 สัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เริ่มแยกเพศได้ โดยปลาเพศเมียสังเกตจุดสีดำบริเวณรูเปิดช่องท้อง ส่วนปลาเพศผู้ เมื่อมาจากด้านบนมีรูปร่างเรียวยาวกว่าเพศเมีย | ||||||||||
ขั้นตอนที่ 4 | ||||||||||
คัด ขนาดและแยกเพศปลา นำไปแยกเลี้ยงในบ่ออัตรา 200-300 ตัว/ลบ.ม. ให้กินไรแดงเป็นอาหารในตอนเช้าส่วนตอนกลางวันและตอนเย็นให้กินอาหารสำเร็จ รูปเลี้ยงเป็นระยะเวลา 3 เดือน (ปลามีอายุประมาณ 4 เดือน) | ||||||||||
ขั้นตอนที่ 5 | ||||||||||
ปลาหางนกยูงอายุประมาณ 4 เดือน จะถูกคัดขนาดและคัดเลือกปลาที่แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อนำไปเลี้ยงไว้ในบ่อพักปลาเพื่อเตรียมส่งจำหน่ายต่อไป |
ที่มา:http://www.geocities.com/kad_guppy/fertilizer.html
October 1, 2008
ปลาหางนกยูงพันธุ์ต่าง ๆ
ปลาหางนกยูงพันธุ์ต่าง ๆ
ปลาหางนกยูงที่นิยมเลี้ยงและพบเห็นทั่วๆ ไปสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ Wild guppies และ Fancy guppies Wild guppies หมายถึงปลาหางนกยูงที่พบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติ หรือปลาที่มีผุ้นำมาเลี้ยงเป็นปลาสวยงามโดยไม่ได้ผ่านการคัดพันธุ์ ปลาชนิดนี้มักจะมีสีคล้ำ สีไม่เด่นสะดุดตาครีบหลักและครีบหางจะไม่ยาวนัก ปลาเพศผู้และเพศเมียจะมีลักษณะคล้ายกันไม่แตกต่างกันมาก ส่วน Fancy guppies หมายถึงปลาที่ได้จาการนำ Wild guppies มาคัดพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ได้ปลาที่มีลักษณะดี สีสันสวยงาม และลวดลายเด่นสะดุดตา ปลาเพศผู้ในกลุ่มนี้จะมีลักษณะครีบใหญ่ยาว และสีสวยสะดุดตากว่าปลาเพศเมียมาก และเป็นที่นิยมในหมู่นักเลี้ยงปลาสวยงามFancy guppies ในปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงและคัดพันธุ์เพื่อซื้อขายเป็นปลาสวยงามได้มากมาย หลายสายพันธุ์ (Varieties) แต่ละสายพันธุ์เน้นความสำคัญที่รูปแบบของครีบหาง สีหรือลวดลายบนลำตัวและครีบและมีการตั้งชื่อทางการค้าของแต่ละสายพันธุ์ตาม ลักษณะดังกล่าว ซึ่งพอจะสรุปรายละเอียดของลักษณะที่สามารถนำมาตั้งชื่อได้ดังนี้
1. | ลักษณะของครีบหาง ครับหางของปลาหากนกยูงเป็นส่วนที่เด่นที่สุด การคัดพันธุ์จึงเน้นที่รูปแบบของหางเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งและจากการคัดพันธุ์ติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ปัจจุบันมีรูปแบบของหางต่างๆ หลายแบบได้แก่ | ||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||
2. | ลักษณะสีบนลำตัวและครีบ | ||||||||||||||||||||||||||
ปลาหางนกยูงมีสีต่าง ๆ มากมายหลายสี บางคนกล่าวว่าสีที่พบในปลางหางนกยูงมีมากกว่าสีที่พบในสัตว์ชนิดอื่นๆ แม้กระทั้งผีเสื้อซึ่งเป็นสัตว์ที่มีสีสันสดสวยก็ยังสู้ปลาหางนกยูงไม่ได้ Fancy guppies ที่พบเห็นทั่วไปมักจะไม่พบหรืออาจจะพบน้อย สำหรับปลาที่มีสีเดียวล้วนๆ ส่วนใหญ่มักจะพบว่ามีมากกว่า 1 สีขึ้นไปผสมอยู่ในปลาตัวเดียวกัน แต่อาจมีสีหนึ่งสีใดเด่นชัดมากว่ากว่าสีอื่นๆ ในการตั้งชื่อหากว่าปลามีหลายสีมักจะใช้สีที่เด่นที่สุด บนตัวปลาเป็นสีเรียกชื่อและสีที่พบมักจะเป็นสีพื้นส่วนใหญ่ได้แก่สี ดำ ขาว เหลือง น้ำเงิน แดง เขียว และสีธรรมชาติ (Wild) ซึ่งมักจะเป็นสีคล้ำๆ มัวๆ หรือสีลวดลายเหมือนปลาที่พบในแหล่งน้ำธรรมชาติ | |||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||
3. | ลักษณะลวดลายบนลำตัวและครีบ | ||||||||||||||||||||||||||
| จากการที่ปลาหางนกยูงมีสีต่างๆ มากมายหลายสีดังที่กล่าวมาแล้ว ประกอบกับการคัดพันธุ์ที่เน้นความสำคัญของลักษณะสี จึงทำให้ได้ปลาที่มีลวดลายต่าง ๆ และมีการตั้งชื่อตามลวดลายที่ปรากฏ เช่น Snake skin, Mosaic, Tuxedo เป็นต้น | ||||||||||||||||||||||||||
| ใน การตั้งชื่อปลาของแต่ละสายพันธุ์ที่เพาะได้ใหม่นั้น นิยมใช้ชื่อที่พบว่าเป็นสีพื้นและเด่นที่สุดบนตัวปลาเป็นชื่อแรก และหากปลามีลวดลายต่างๆ ก็จะใช้ลวดลายเป็นชื่อต่อมาและตามด้วยลักษณะหาง หรืออาจใช้ลักษณะหางเป็นชื่อแรกก็ได้ แล้วแต่ความนิยมของผู้เลี้ยง ถ้าหากสีที่ปรากฏไม่เห็นเป็นลวดลาย ก็จะใช้สีที่เด่นสะดุดตาที่สุดบนตัวปลากับลักษณะหางเป็นชื่อเรียกปลาของแต่ ละสายพันธุ์ดังตัวอย่างต่อไปนี้ | ||||||||||||||||||||||||||
| Yellow snakeskin fantail หมายถึง สายพันธุ์ที่มีลำตัวและหางมีสีเหลืองเป็นสีพื้นและเด่นที่สุด ในขณะเดียวกันจะมีลวดลายบนลำตัวและครีบลักษณะคล้ายหนังงูแลมีหางแบบรูปพัด | ||||||||||||||||||||||||||
| Golden cobra lacetail หมายถึง ปลาที่มีสีพื้นลำตัวตัวและหางเป็นสีเหลืองทองมีลวดลายคล้ายงูเห่าและมีหาง ที่มีปลายเรียวแหลมคล้ายใบโพธิ์ | ||||||||||||||||||||||||||
| Red lower swordtail หมายถึง ปลาหางนกยูงที่มีสีเด่นบนลำตัว และหางเป็นสีแดงและมีหางแบบมีก้านครีบยื่นยาวที่ขอบล่างของครีบหาง | ||||||||||||||||||||||||||
| Wild fantail หมายถึง ปลาหางนกยูงที่มีสีคล้ำๆ และไม่มีลวดลายเด่นสะดุดตา ลักษณะเหมือนปลาธรรมชาติและมีรูปแบบพัด | ||||||||||||||||||||||||||
Red tail Tuxedo หมายถึง ปลาหางนกยูงที่มีครึ่งหลังของลำตัวเป็นสีน้ำเงินเข้มและครีบหางเป็นสีแดง ข้อมูลจาก http://www.geocities.com/kad_guppy/species.html |
ลักษณะที่ดีของปลาหางนกยูง | |
ลักษณะลำตัว : | มีขนาดใหญ่ หนา สมส่วน ไม่คดงอ |
ลักษณะครีบ : | ครีบหางใหญ่ พริ้วหนา แข็งแรงสมบูรณ์ไม่ฉีกขาด ขณะว่ายน้ำพริ้วไม่พับ |
สีและลวดลาย : | ถูกต้องตามสายพันธุ์ คมเข้มชัดเจน |
ความสมบูรณ์ของลำตัว : | ทรงตัวปกติ |
ปลาหางนกยูง "ราชินีแห่งปลาตู้"
ปลาหางนกยูง มีชื่อสามัญว่า Guppy หรือ Millions Fish อยู่ในครอบครัว (Family) Poeciliidac และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Poecilia reticulata (Peters) และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Poecilia reticulata (Peters) เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว (Ovoviviparous Fish) มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้แถบประเทศเวเนซูเอลล่า หมู่เกาะคาริเบียนของประเทศบาร์บาโดส และประเทศกลุ่มอเมซอน
ในปัจจุบันนี้ ปลาหางนกยูงได้รับความนิยมใช้เลี้ยงเป็นปลาสวยงาม โดยเฉพาะเลี้ยงในตู้กระจกอย่างแพร่หลายทั่วทุกมุมโลก และสามารถเพาะผสมพันธุ์ให้ได้ชนิด หรือประเภทที่มีความสวยงามและลักษณะเด่นตามความนิยมของตลาดได้โดยไม่ยากนัก ปลาหางนกยูงจัดเป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก ลักษณะลำตัวยาวเรียวแบนข้างเล็กน้อย ปากเล็กริมฝีปากล่างยื่นยาวกว่าริมฝีปากบน ครีบหางใหญ่และแผ่กว้าง โดยเฉพาะปลาเพศผู้ครีบหางจะใหญ่และยาวเป็นพวงสวยงาม ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจการเพาะพันธุ์ปลาหางนกยูงได้พยายามใช้หลักวิชาการทาง ด้านพันธุกรรม ดำเนินการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะเด่นตามความต้องการมาเพาะพันธุ์ จนสามารถได้ปลาหางนกยูงพันธุ์แปลกๆ และสวยงามอยู่เป็นประจำ |
สำหรับ ในประเทศไทย ปลาหางนกยูงก็ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้เลี้ยงปลาสวยงามในตู้กระจกมากเช่น เดียวกัน แต่ในธุรกิจด้านการเพาะพันธุ์ยังไม่เจริญก้าวหน้ามาก ทั้งในด้านปริมาณ และคุณภาพยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาดทั้งภายในประเทศและส่งจำหน่าย ต่างประเทศ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าคนไทยทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบาล ยังให้ความสนใจวิชาความรู้ด้านพันธุกรรมและความละเอียดละออในการคัดเลือกพ่อ แม่พันธุ์ไม่มากนัก และประการสำคัญคือขาดการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุที่ทำให้ประเทศไทยต้องสั่งซื่อปลาหางนกยูงจากต่างประเทศคิดเป็น มูลค่าปีละจำนวนนับล้านบาท |
ปลา หางนกยูงมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Poecilia reticulata Peters 1859 มีชื่อสามัญว่า Guppy อยู่ในครอบครัว Poecidae เป็นปลาที่ออกลูกเป็นตัว และมีถิ่นกำเนิดทางทวีปอเมริกาใต้แถบเวเนซูเอล่า หมู่เกาะคารีเบียนของประเทศบาร์บาโดส และในแถบลุ่มน้ำอเมซอน ในธรรมชาติอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดและน้ำกร่อยที่เป็นแหล่งน้ำนิ่งจนถึงน้ำ ไหลเรือยๆ ปลาตัวผู้มีขนาด 3-5 ซม. ตัวเมียมีขนาด 5-7 ซม. ปลาหางนกยูงที่นิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม (Fancy guppies) ซึ่งเป็นปลาที่ได้รับการคัดพันธุ์และปรับปรุงมาจากพันธุ์พื้นเมือง (Wild guppies) ที่พบแพร่กระจายอยู่ในธรรมชาติ ลักษณะเด่นที่ใช้นใการปรับปรุงพันธุ์ให้ได้สายพันธุ์ใหม่ๆ คือลักษณะสีและสวดลายบนลำตัว และลวดลายบนครีบหาง และรูปแบบของหาง ซึ่งในการเรียกสายพันธุ์ต่างๆ จะถูกตั้งชื่อตามลักษณะดังกล่าว |
ลักษณะทางชีววิทยาของปลาหางนกยูง | ||||||||||
|
ขอบคุณข้อมูลจาก:http://www.geocities.com/kad_guppy/guppy.html
Subscribe to:
Posts (Atom)