ทั้งๆ ที่อาร์ทีเมียเป็นสัตว์น้ำเค็มสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในช่วงความเค็มค่อน ข้างกว้างระหว่าง 3-240 ส่วนในพัน (ppt) แต่ในแหล่งน้ำธรรมชาตินั้น สามารถพบอาร์ทีเมียได้เฉพาะในแหล่งน้ำธรรมชาตินั้นสามารถพบอาร์ทีเมียได้ เฉพาะในแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่มีความเค็มสูงมากจนกระทั่งสัตว์ที่เป็นศัตรูของอาร์ทีเมียเป็นสัตว์น้ำ ที่ไม่มีระบบป้องกันตนเอง เนื่องจากไม่มีเปลือกแข็งหุ้มลำตัวจึงมีความอ่อนนุ่มตกเป็นเหยื่อให้แก่ สัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ได้ง่าย ดังนั้นจึงเป็นข้อจำกัดเป็นอย่างมากของอาร์ทีเมียในแหล่งน้ำธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์จึงได้พยายามนำเอาอาร์ทีเมียมาทดลองเลี้ยงในพื้นที่ซึ่ง สามารถป้องกันศัตรูของอาร์ทีเมียได้ และควบคุมปัจจัยต่างๆ ให้เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของอาร์ทีเมียโดยการเลี้ยงในปัจจุบันสามารถ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ | ||||||||||||||||||
1. การเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ | ||||||||||||||||||
2. การเลี้ยงในภาคสนาม | ||||||||||||||||||
การเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ | ||||||||||||||||||
ได้แก่ การทดลองเลี้ยงอาร์ทีเมียในห้องปฏิบัติการ ซึ่งสามารถควบคุมปัจจัยต่างๆ ได้ตามต้องการ ส่วนใหญ่ที่นิยมทดลองเลี้ยงกันในตู้กระจก ถึงไฟเบอร์กลาสหรือบ่อซีเมนต์ระบบการเลี้ยงที่นิยมใช้กันแพร่หลายมีหลายระบบ เช่น Flowthrough system หรือ Batch culture system ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่การเลี้ยงในห้องปฏิบัติการมีข้อจำกัดในขนาดของถึงหรืออุปกรณ์ ที่จะใช้เลี้ยง และการลงทุนค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่นิยมปฏิบัติกันในแถบยุโรป | ||||||||||||||||||
การเลี้ยงภาคสนาม | ||||||||||||||||||
ได้แก่ การทดลองเลี้ยงอาร์ทีเมียในบ่อดิน หรือแหล่งน้ำต่างๆ ที่มีความเค็มจัดซึ่งสามารถควบคุมความเค็มได้ มีการให้อาหารหรือควบคุมปัจจัยบางอย่าง ข้อดีคือ สามารถดำเนินการได้ในพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถทำเป็นอาชีพเสริมควบคู่ผสมผสานไปกับการทำนาเกลือ / หรือการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอื่นๆ นิยมปฏิบัติการในแถบทวีปอเมริกาใต้ หรือเอเชีย | ||||||||||||||||||
สำหรับ การเลี้ยงอาร์ทีเมียในประเทศไทยนั้น ไม่มีรายงานว่าพบอาร์ทีเมียในแหล่งน้ำธรรมชาติจนกระทั่ง กรมประมงได้ประสบผลสำเร็จในการเลี้ยงอาร์ทีเมียในบ่อดินบริเวณนาเกลือที่น้ำ เค็มมีความเค็มสูงเป็นครั้งแรกในปี 2522 โดยสามารถผลิตไข่อาร์ทีเมียแห้งได้ 10 กิโลกรัมในบ่อดินขนาด 1.5 ไร่ ภายในระยะเวลา 45 วัน | ||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||
อัตราการปล่อยอาร์ทีเมีย | ||||||||||||||||||
การปล่อยอาร์ทีเมียลงในล่อนั้นมี 2 วิธี | ||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||
การเปลี่ยนน้ำ | ||||||||||||||||||
ตลอด ระยะเวลาที่เลี้ยงอาร์ทีเมียจะไม่มีการเปลี่ยนน้ำ มีแต่การเติมน้ำความเค็มต่ำลงไปในบ่อประมาณสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งๆ ละประมาณ 3-5 เซนติเมตร จะเติมน้ำเข้าไปมากน้อยเท่าใดขึ้นอยู่กับความเค็มภายในบ่อปกติความเค็ม ระหว่าง 70-120 ppt ซึ่งเป็นการควบคุมความเค็มเพื่อให้อาร์ทีเมียออกลูกเป็นตัวเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าต้องการไข่อาร์ทีเมียจะต้องเพิ่มความเค็มให้สูงกว่า 120 ppt ขึ้นไป ในช่วงฝนตก ถ้าฝนตกมากให้ระบายน้ำจืดที่ผิวน้ำออกเพื่อควบคุมระดับความเค็มและความลึก ของน้ำให้ได้อยู่ในระดับที่ต้องการ เมื่อน้ำในบ่อมากเกินไปก็สามารถนำไปใช้ในการขยายบ่อเลี้ยงอาร์ทีเมียอื่นๆ หรือนำไปตกผลึกเกลือ หรือนำไปใช้การเพาะเลี้ยงกุ้ง ปลา ต่อไป | ||||||||||||||||||
การให้อาหาร | ||||||||||||||||||
สำหรับชนิดและการกินอาหารของอาร์ทีเมียสามารถทำได้ 2 วิธี คือ | ||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||
การเจริญเติบโต | ||||||||||||||||||
หลัง จาการปล่อยอาร์ทีเมียลงเลี้ยงประมาณ 10-15 วัน จะพบอาร์ทีเมียขนาดโตเต็มวัยในบ่อเป็นจำนวนมากอยู่โดยทั่วไป และจะเริ่มพบตัวอ่อนรุ่นใหม่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาหารและน้ำที่ดีด้วย สามารถเก็บผลผลิตได้ตลอดไปจนกว่าจะมีการปรับปรุงบ่อใหม่ ถ้าระบบและการจัดการดีจะสามารถให้ผลผลิตได้ตลอดไปในการปล่อยอาร์ทีเมียลง เลี้ยงเพียงครั้งเดียว แต่ผู้เลี้ยงต้องเลือกเอาว่าจะเก็บผลผลิตเป็นตัวหรือเป็นไข่อาร์ทีเมียหรือ จะเก็บทั้งไข่และตัว กล่าวคือถ้าจะช้อนเก็บเอาตัวออกเกือบทุกวัน อาร์ทีเมียขนาดโตเต็มวัยจะมีปริมาณน้อย ซึ่งอาร์ทีเมียจะออกลูกเป็นตัวเสียส่วนใหญ่ แต่ถ้าจะเก็บไข่ต้องไม่ช้อนตัวขนาดโตเต็มวัยซึ่งเป็นพ่อแม่นั้นออกแล้วใช้ เทคนิคต่างๆ ในการปรับสภาพแวดล้อมเพื่อกระตุ้นให้เพศเมียออกลูกเป็นไข่มากกว่าออกเป็นตัว ถ้าต้องการผลผลิตทั้งไข่และตัวก็ควรดำเนินการผลิตไข่ก่อน จนกระทั่งอาร์ทีเมียมีอายุมากซึ่งจะให้ประมาณไข่ลดลง หรือส่วนใหญ่ไม่มีไข่แล้วจึงช้อนเก็บรวบรวมตัวอาร์ทีเมียขนาดโตออก เพื่อให้อาร์ทีเมียรุ่นใหม่เจริญเติบโตขึ้นมาทดแทน | ||||||||||||||||||
การรวบรวมตัวอาร์ทีเมีย | ||||||||||||||||||
การรวบรวมตัวอาร์ทีเมียก่อนจะรวบรวมจะต้องทำการสำรวจดูปริมาณลูกอาร์ทีเมียทุกบ่อเสียก่อน ซึ่งสังเกตได้ตั้งแต่เช้ามืด เพราะอาร์ทีเมียจะลอยอยู่ผิวน้ำรับอากาศบริเวณมุมบ่อ หากบ่อไหนมีปริมาณตัวบาง ก็ให้ช้อนอาร์ทีเมียบ่ออื่นที่หนาแน่นมาใส่ เพื่อจะได้ขยายพันธุ์ต่อไป และเป็นการลดการแยกอากาศกันของอาร์ทีเมียเองด้วย การเก็บรวบรวมอาร์ทีเมียทำกันตั้งแต่เช้าจนถึง 8 นาฬิกา โดยการสังเกตุว่าอาร์ทีเมียรวมอยู่มุมใดมุมหนึ่งของบ่อ ก็ใช้สวิงช้อนลูกอาร์ทีเมียโดยให้เหลือตัวเต็มวัยเอาไว้เพื่อขยายพันธุ์ต่อไป | ||||||||||||||||||
ผลผลิต | ||||||||||||||||||
- ผลผลิตตัวอาร์ทีเมีย (Artemia biomass) ประมาณ 50-100 กิโลกรัม/ไร่/เดือน | ||||||||||||||||||
- ผลผลิตไข่อาร์ทีเมีย (Artemia cysts) น้ำหนักเปียกประมาณ 5-10 กิโลกรัม/ไร่/เดือน | ||||||||||||||||||
ข้อควรคำนึง | ||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||
รูปแบบของการทำฟาร์มอาร์ทีเมีย | ||||||||||||||||||
เป็น การทำการเพาะเลี้ยอาร์ทีเมียอย่างเดียว ซึ่งบ่อเพาะเลี้ยงอาจเป็นนาเกลือเก่า หรือดัดแปลงนาเกลือเก่า หรือปรับปรุงนาเกลือให้เหมาะสมกับการเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมียได้ ซึ่งมีวิธีการโดยการดันน้ำทะเลเข้ามา บ่อตากน้ำทะเลให้ได้ความเค็มอยู่ระหว่าง 70-170 ppt แล้วส่งน้ำเค็มเข้าสู่บ่อเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมียต่อไป ซึ่งครั้งแรกจะต้องสร้างห่วงโซ่อาหารให้เกิดขึ้นภายในบ่อเลี้ยงอาร์ทีเมีย โดยการใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ประมาณ 200 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อเกิดน้ำเขียวแล้วก็ปล่อยอาร์ทีเมียลงเลี้ยงหลังจากนั้นก็ควบคุมน้ำให้ ได้ระดับที่ต้องการ โดยการสูบน้ำเข้าไปแทนที่น้ำทะเลที่ระเหยออกไป และต้องรักษาระดับความเค็มของน้ำให้เหมาะสมแก่การเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมีย พร้อมทั้งใส่ปุ๋ยลงในบ่อเพาะเลี้ยงสัปดาห์ละครั้งเพื่อให้เกิดอาหาร | ||||||||||||||||||
การทำฟาร์มอาร์ทีเมียแบบผสมผสาน | ||||||||||||||||||
เป็น การผสมผสานระหว่างการเลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง หรือนาเกลือ ทั้งนี้เพราะว่าน้ำที่เลี้ยงกุ้งปลาจะมีความเค็ม 10-40 ppt จะนำน้ำนี้ไปเลี้ยงอาร์ทีเมียซึ่งน้ำที่เลี้ยงกุ้ง ปลา นี้จะมีแพลงก์ตอนซึ่งเป็นอาหารของอาร์ทีเมียอยู่ด้วย และในน้ำที่เลี้ยงอาร์ทีเมียแล้วจะใสมาก เพราะอาร์ทีเมียกินแบคทีเรีย และสาหร่ายชนิดต่างๆ จึงสามารถนำไปตกผลึกเกลือได้เลย โดยแทนที่จะค่อยๆ ตากน้ำนานก็ลดเวลาในการตากน้ำลง น้ำในแปลงอาร์ทีเมียมีความเค็มอยู่ระบายออกไปตากเพียง 2-3 วัน สามารถตกผลึกได้ ดังนั้นถ้าใช้น้ำที่มีความเค็มสูง จากบ่อเลี้ยงอาร์ทีเมียไปตากเพียงไม่กี่วันก็ได้ผลิตเกลือแล้ว ระยะเวลาในการทำนาเกลือก็มีมากขึ้น ผลผลิตเกลือก็ได้มากขึ้น และขาวขึ้นและน้ำที่เลี้ยงอาร์ทีเมียก็ยังสามารถนำไปใช้ในโรงเพาะฟักต่าง ๆ ได้ต่อไป | ||||||||||||||||||
การทำฟาร์มอาร์ทีเมียแบบผสมผสานกับการเลี้ยง กุ้ง ปลา และการทำนาเกลือ | ||||||||||||||||||
เป็น การเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมียร่วมกับการเลี้ยงกุ้ง ปลา และนาเกลือ ซึ่งบ่อเลี้ยงกุ้ง ปลา และนาเกลือจะแยกกันโดยเด็ดขาด แต่อยู่บริเวณเดียวกันโดยนาเกลือจะแยกเป็น 2 ส่วนคือ บ่อตากและบ่อตกผลึก ทำโดยการสูบน้ำทะเลเข้ามาตากให้ได้ความเค็มที่ต้องการหลังวจากนั้นก็สูบน้ำ เข้าบ่อเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมีย แต่ก่อนจะเลี้ยงอาร์ทีเมียก็ควรกำจัดศัตรู ปรับปรุงบ่อเสียก่อน และควรตากบ่อประมาณ 1 สัปดาห์ จึงจะทำการสูบน้ำเขียวจากบ่อเลี้ยงกุ้ง ปลา แล้วสูบน้ำเค็มประมาณ 90-110 ppt ในระหว่างเลี้ยงก็ควบคุมระดับน้ำ และระดับความเค็มของน้ำให้ได้ตามที่ต้องการ หากความเค็มลดลงหรือระดับน้ำลดลงก็สูบน้ำจากบ่อตากนากเกลือเข้ามาพร้อมทั้ง สูบน้ำเขียวจากบ่อเลี้ยงกุ้ง ปลา เพื่อเป็นอาหารของอาร์ทีเมีย และใส่มูลสัตว์ในบ่ออาร์ทีเมียด้วย น้ำที่ใช้เลี้ยงอาร์ทีเมียก็จะสูบกลับไปยังบ่อตากน้ำ | ||||||||||||||||||
การทำฟาร์มอาร์ทีเมียผสมผสานกับการทำนาเกลือ | ||||||||||||||||||
เป็น การใช้น้ำจากบ่อตากน้ำเกลือไปใช้ประโยชน์ ก่อนน้ำไปตกผลึกเกลือโดยการสูบน้ำเข้าบ่อตากเกลือ เพื่อตากน้ำทะเลให้ได้ความเค็มที่ต้องการ แล้วสูบน้ำเข้าบ่อเลี้ยงอาร์ทีเมียปรับความเค็มให้ได้ตามที่ต้องการ พร้อมทั้งใส่ปุ๋ยมูลสัตว์สร้างห่วงโซ่อาหารในบ่อ เมื่อเกิดน้ำเขียวแล้วปล่อยอาร์ทีเมียลงเลี้ยงในบ่อจากนั้นก็รักษาระดับน้ำ และความเค็มพร้อมทั้งใส่ปุ๋ยเพื่อเป็นอาหารของอาร์ทีเมียสัปดาห์ละครั้ง ส่วนน้ำจากบ่อเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมียจะหมุนเวียนนำกลับไปใช้ในการตกผลึกเกลือ ได้อีก |
http://www.geocities.com/kad_guppy/aretimier.html
No comments:
Post a Comment